ด้วยเวลาเพียงไม่ถึงเดือนก่อนที่งานแข่งขันใหญ่เกม Dota 2 ประจำปีอย่าง The International 2019 ( TI9 ) จะเปิดฉากขึ้นที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เกม Dota 2 ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ยอดเงินรางวัลที่รวมกันแล้ว 920 ล้านบาท (30 ล้านดอลล่าร์) ทำให้ใครหลายคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับวงการ Esports หรือไม่เคยติดตามเกมอย่าง Dota 2 น่าจะสงสัยกันว่าทำไมงานแข่งขันเกมมันถึงมียอดเงินรางวัลเยอะกว่างานแข่งขันกีฬาระดับโลกไปแล้วได้อย่างไร 

ซึ่งการที่เกมสามารถทำเงินรางวัลได้มากมายขนาดนี้ ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่แรกเริ่มก่อนที่จะมีเกม Dota 2 เสียอีก และนี่ก็คือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้เกม Dota 2 กลายเป็นเกมที่มีเงินรางวัลสูงที่สุดในวงการ Esports

ทุนจัดแข่งที่เยอะตั้งแต่แรก

หลังจากที่ Valve ทีมพัฒนาได้เปิดตัวเกม Dota2 ไปได้ไม่นาน ภายในปี 2011 ก็ได้มีการจัดแข่งขันเกมนี้ขึ้น โดยมาพร้อมเงินรางวัลรวมทั้งสิ้น 49 ล้านบาท ( 1.6 ล้านดอลล่าร์ ) ถือเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากในการแข่งขันของเกมสมัยนั้น เพราะเกมอื่นในตอนนั้นยังมีเงินรางวัลอยู่ที่หลักร้อยถึงหลักแสนดอลล่าร์เท่านั้น ทำให้ในการแข่งขันครั้งนี้มีทีมนักแข่งชื่อดังของเกม Dota ภาคแรกจากทั่วโลกมาเข้าร่วมแข่งขันมากถึง 16 ทีม และนั้นก็ทำให้เกิดงานแข่งขันในชื่อว่า The International

งานแข่ง The International จบลงด้วยการที่ทีม Na’Vi จากประเทศยูเครน คว้ารางวัลในรอบชิงชนะเลิศจนเป็นเงินมูลค่า 30 ล้านบาท ( 1 ล้านดอลล่าร์ ) ด้วยการชนะทีม EHOME จากประเทศจีน เหตุการณ์นี้ยิ่งส่งผลให้ผู้เล่นเกม Dota ภาคแรกในเกม Warcraft 3 เริ่มอพยพมาเล่น Dota 2 กันมากขึ้น รวมทั้งทำให้โปรเพลเยอร์จากเกมอื่น ก็เริ่มย้ายกันมาเล่น Dota 2 กันเยอะขึ้นด้วย เพื่อหวังที่จะได้เข้าไปแข่งชิงเงินรางวัลในงาน The International ครั้งต่อไป ทำให้ Dota 2 เป็นเกมที่มีจำนวนคนเล่นเยอะเป็นรองให้กับเกมแนว MOBA อย่าง League of Legends และการที่เกมมีผู้เล่นเยอะก็เท่ากับกำไร ที่เยอะขึ้นนั่นเอง

แต่หลายคนน่าจะสงสัยกันว่าทาง Valve ทีมพัฒนาเกมไปหาเงินรางวัลมาจากไหนตั้งหลายล้าน ก็ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้าที่เกม Dota 2 จะเปิดให้บริการ Valve เป็นทีมพัฒนาเกมชื่อดังอย่าง Half Life เกมยิง FPS ผสมวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังในปลายยุค 90 และนั่นก็ส่งผลให้ Valve ได้กลายเป็นเจ้าของเกม Counter Strike จากการที่มีกลุ่มผู้เล่นใช้เกม Half Life ดัดแปลงให้เป็นเกมตำรวจยิงกับโจร รวมทั้ง Valve คือเจ้าของร้านขายเกมดิจิตอลอย่าง Steam ที่นับเป็นร้านขายเกมดิจิตอลเจ้าแรกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ทำให้ Valve เป็นค่ายเกมมหาเศรษฐีที่สามารถสร้างเงินรางวัลจำนวนมหาศาลให้เกม Dota 2 ได้นั่นเอง

จุดกำเนิด The Compendium

หลังจากที่เดินทางมาถึงงานแข่ง The International 2013 ( TI3 ) ทาง Valve ก็ได้เปิดตัว The International Compendium หนังสือดิจิตอลที่ให้ผู้เล่นเกมนี้ได้มีส่วนร่วมในการแข่งขันอย่างการโหวดแมตซ์พิเศษที่ให้เลือกว่าผู้เล่นคนไหนต้องมาเจอกับคนไหน หรือจะโหวดว่าใครจะชนะตำแหน่งอะไรในปีนั้น ซึ่งใครที่โหวดถูกก็ยังจะได้รับรางวัลในเกมอีกด้วย การซื้อ The Compendium ในทุกๆ ครั้งจะทำให้เพิ่มเงินรางวัลในงาน TI3 ที่มีเงินรางวัลในตอนแรกอยู่แล้ว 49 ล้านบาท ( 1.6 ล้านดอลล่าร์ ) โดยจะเพิ่มรอบละประมาณ 76 บาท ( 2.5 ดอลล่าร์ ) ต่อ 1 คน จุดนี้จึงทำให้ทาง Valve ใช้วิธีใส่เป้าหมายยอดคน ซื้อเอาไว้ ยกตัวอย่างถ้ามีผู้ซื้อ The Compendium ครบ 1 ล้านคน ก็จะปลดล็อคไอเทม หรือรางวัลพิเศษให้กับผู้ที่ซื้อ The Compendium ทุกคน ทำให้ผู้ที่เล่นเกมนี้จึงอยากที่ จะอุดหนุนมาเอารางวัลกันเป็นจำนวนมาก และนั่นก็ทำให้เงินรางวัลในงาน TI3 สูงขึ้นตามไปด้วย 

ในงานแข่งขัน TI3 จึงมีเงินรางวัลรวมทั้งสิ้น 88 ล้านบาท ( 2.8 ล้านดอลล่าร์ )  และในงาน TI3 ก็จบไปด้วยการที่ทีม The Alliance จากประเทศสวีเดน สามารถเอาชนะทีม Na’Vi ไปได้ในรอบชิงชนะเลิศ จึงได้รางวัลเป็นเงินมากถึง 44 ล้านบาท ( 1.4 ล้านดอลล่าร์ ) เห็นได้ชัดเลยว่า The Compendium มีผลทำให้เงินรางวัลมันเพิ่มขึ้นสูงอย่างมาก ทางผู้พัฒนาเกมจึงเริ่มต่อยอด The Compendium ให้ผู้ซื้อได้มีส่วนร่วมมากขึ้นจนส่งผลให้งานแข่งในภายหลังก็มีเงินรางวัลที่มากขึ้นกว่าเดิม อย่างในงาน The International 2015 ( TI5 ) ที่มีเงินรางวัลสูงขึ้นกว่าเดิมมากถึง 566 ล้านบาท ( 18 ล้านดอลล่าร์ )  และก็จบลงด้วยการที่ทีม Evil Geniuses จากทวีปอเมริกาเหนือ สามารถคว้ารางวัลจากการชนะในรอบชิงชนะเลิศไปได้เป็นเงินจำนวน 203 ล้านบาท ( 6 ล้านดอลล่าร์ )

อัปเกรดสู่ Battle Pass

หลังจากที่เข้าสู่งานแข่ง The International 2016 ( TI6 ) ทาง Valve ก็เปลี่ยนจากการขาย The Compendium มาเป็นการขาย Battle Pass ซึ่ง Battle Pass ก็จะยังคงให้ผู้ที่ซื้อได้มีส่วนร่วมในการแข่งขันเช่นกัน แต่มาในคราวนี้จะมีการเน้นให้ผู้ซื้อได้ทำเควสมากมายจากการเล่นเกมเพื่อปลดล็อครางวัลไปด้วย ส่งผลให้มีรางวัลที่เยอะกว่าตอน The Compendium

Battle Pass ได้ยกเลิกอะไรหลายอย่างจาก The Compendium อย่างการนำเป้าหมายยอดคนซื้อแล้วจะได้รางวัลออกไปให้กลายเป็นซื้อแล้วจะได้รางวัลทั้งหมดทันที ที่สำคัญกว่าคือการเปลี่ยนจากเพิ่มเงินรางวัลประมาณ 76 บาทต่อ 1 การซื้อ ก็ถูกแทนที่ด้วย 25% ของยอดที่ขาย Battle Pass ได้ทั้งหมด ทำให้ Battle Pass กลายเป็นที่น่าสนใจมากกว่าเดิม และทำให้ผู้ที่ไม่ได้สนใจการแข่ง TI6 แต่ชอบเล่นเกม Dota 2 จะอยากซื้อ Battle Pass เพื่อมาทำเควสปลดล็อครางวัลพิเศษ Battle Pass จึงสามารถเพิ่มเงินรางวัลใน TI6 รวมไปได้มากกว่าเดิมถึง 637 ล้านบาท ( 20 ล้านดอลล่าร์ ) และจบลงด้วยการที่ทีม Wing Gaming จากประเทศจีน คว้ารางวัลในรอบชิงชนะเลิศเป็นเงิน 276 ล้านบาท ( 9.1 ล้านดอลล่าร์ )

Battle Pass ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ค่ายเกม Valve มีกำไรที่มากกว่าเดิมจนค่ายเกมอื่นก็นำการตลาด Battle Pass กันไปประยุกต์ใช้ในเกมตัวเอง อย่าง Fortnite ที่ขาย Battle Pass ประจำซีซั่นให้ผู้ที่ซื้อสามารถทำเควสเก็บแต้มไปปลดล็อครางวัลพิเศษประจำซีซั่นนั้นๆ จนเกม Fortnite กลายเป็นเกมที่ทำเงินที่โด่งดังมากที่สุดแห่งปี 2018

จุดตกต่ำของ MOBA ที่ทำให้ Valve ต้องพยายามหาทางออก

หลังเข้าสู่งาน The International 2018 ( TI8 ) ที่ใครหลายคนน่าจะคิดว่าเงินรางวัลต้องสูงกว่าทุกครั้ง ก็ดันเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นมาเมื่อเงินรางวัลในงาน TI8 กลับดันมีเยอะกว่าของ TI7 อยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาท ( 1 ล้านดอลล่าร์ ) เท่านั้น โดยในงาน TI8 มีเงินรางวัลรวมทั้งสิ้น 784 ล้านบาท ( 25 ล้านดอลล่าร์ )

เหตุผลที่ทำให้เงินรางวัลลดน้อยลงก็น่าจะมาจากปี 2018 เป็นปีที่เกมแนว Battle Royale กำลังมาแรงจนเป็นกระแสอันดับต้นๆ โดยเกมอย่าง PUBG ก็มียอดผู้เล่นพร้อมกันที่แซงเกมอย่าง Dota 2 ไปได้ทั้งๆ ที่ Dota 2 เป็นเกมที่มีคนเข้าเล่นพร้อมกันเยอะที่สุดใน Steam มาโดยตลอด

ยอดคนดูของเกมในช่วงปี 2018 บนแพลตฟอร์มถ่ายทอดสด Twitch

แล้วในช่วงต้นปี 2019 ทางฝั่ง Valve ก็ต้องจุกหนักกว่าเดิมเมื่อ Epic ทีมพัฒนาเกม Fortnite ได้เปิดตัวงาน World Cup ให้กับเกมของตัวเอง โดยมีเงินรางวัลสูงถึง 920 ล้านบาท ( 30 ล้านดอลล่าร์ ) กลายเป็นเกมที่มีเงินรางวัลมากกว่าเกม Dota2 และนับเป็นเงินรางวัลสูงที่สุดในวงการ Esports เวลานั้นด้วย

จุดนี้ทำให้ทาง Valve เจ็บปวดอย่างมาก พวกเขาจึงต้องพยายามหาทางออกให้เกม Dota2 มีกระแสไปสู้เกมแนว Battle Royale ได้ ทำให้งาน The International 2019 ( TI9 ) จึงมีการลงทุนที่มากกว่าทุกครั้ง

กลับมาเป็นตัวเต็งอีกรอบ

ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู้งาน The International 2019 ( TI9 ) ทางฝั่ง Valve ก็สามารถทำเงินรางวัลจนแซงหน้างาน TI7 ไปได้ และกลับมาเป็นเกมที่มีเงินรางวัลสูงที่สุดใน Esports อีกครั้ง ด้วยเงินรางวัลที่มากกว่าเกม Fortnite รวมทั้งสิ้น 951 ล้านบาท ( 31 ล้านดอลล่าร์ )  และยังมีแววที่เงินรางวัลนี้จะมีเพิ่มขึ้นไปอีก โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ได้คาดว่าจะมีเงินรางวัลรวมที่มากถึง 1,043 ล้านบาท ( 34 ล้านดอลล่าร์ )

ซึ่งการที่งาน TI9 สามารถทำเงินรางวัลได้สูงกว่าทุกครั้งก็เพราะทาง Valve เองที่ให้รางวัลกับผู้ซื้อ Battle Pass มากกว่าเดิม รวมทั้งเป็นช่วงที่กระแสของเกมแนว Battle Royale เริ่มชาลงจนทำให้เกมแนว MOBA กลับมาติดอันดับต้นๆ อีกครั้ง อย่างเกม League of Legends ที่ก็กลับมามียอดผู้ชมมากที่สุดบนแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดอย่าง Twitch

ด้วยความที่อุตสาหกรรมเกมสามารถสร้างการตลาดขายของให้กับผู้เล่นได้ก็เป็นเหตุผลให้การแข่งขัน Esports มีจำนวนเงินรางวัลที่เริ่มสูงกว่าการแข่งขันกีฬาระดับโลก และการที่มีผู้เล่นเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลา ก็ทำให้งาน The International ของเกม Dota 2 ในอนาคตจะมีเงินรางวัลที่มากกว่า 1000 ล้านบาทในอีกไม่ช้าแน่นอน